จังหวัดสกลนคร เป็นจังหวัดหนึ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอน
บน ซึ่งเป็นแหล่งชุมชนตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์สืบเนื่องจวบจนปัจจุบัน
ทั้งนี้จังหวัดสกลนครยังเป็นเมืองเก่าแก่ที่มีความสำคัญและหลากหลายในด้าน
ต่างๆโดยเฉพาะทางด้านสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ ประวัติศาสตร์ สังคม การเมือง ศาสนา และวัฒนธรรมทั้งในระดับชาติและระดับท้องถิ่น[3] และเป็นจังหวัดศูนย์กลางในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และศูนย์กลางทางการศึกษา อันเป็นสถานที่ตั้งของสถานศึกษาขนาดใหญ่ในกลุ่มจังหวัดสนุก (จังหวัดสกลนคร จังหวัดนครพนม จังหวัดมุกดาหาร และจังหวัดกาฬสินธุ์ หรือ ประตูตะวันออก 4 จังหวัด)[4]
คำว่า "สกลนคร" มาจากคำภาษาสันสกฤต สกล (สะ-กะ-ละ) หมายความว่า โดยรวม ครอบคลุม หรือทั้งหมด และ คำว่า "นคร" (นะ-คะ-ระ) จากภาษาสันสกฤต หมายถึงแหล่งที่อยู่ หรือเมือง ดังนั้นชื่อที่แท้จริงของเมืองหมายความว่า "นครแห่งนครทั้งมวล" (City of cities)
คำขวัญประจำจังหวัด: พระธาตุเชิงชุมคู่บ้าน พระตำหนักภูพานคู่เมือง งามลือเลื่องหนองหาร แลตระการปราสาทผึ้ง สวยสุดซึ้งสาวภูไท ถิ่นมั่นในพุทธธรรม
คำว่า "สกลนคร" มาจากคำภาษาสันสกฤต สกล (สะ-กะ-ละ) หมายความว่า โดยรวม ครอบคลุม หรือทั้งหมด และ คำว่า "นคร" (นะ-คะ-ระ) จากภาษาสันสกฤต หมายถึงแหล่งที่อยู่ หรือเมือง ดังนั้นชื่อที่แท้จริงของเมืองหมายความว่า "นครแห่งนครทั้งมวล" (City of cities)
คำขวัญประจำจังหวัด: พระธาตุเชิงชุมคู่บ้าน พระตำหนักภูพานคู่เมือง งามลือเลื่องหนองหาร แลตระการปราสาทผึ้ง สวยสุดซึ้งสาวภูไท ถิ่นมั่นในพุทธธรรม
สกลนคร เป็นแอ่งธรรมะ
มีปูชนียสถานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนาหลายแห่ง เช่น พระธาตุเชิงชุม
พระธาตุดูม พระธาตุนารายณ์เจงเวง พระธาตุศรีมงคล พระธาตุภูเพ็ก
และมีพระเกจิอาจารย์ดังที่เป็นที่รู้จักของคนทั้งประเทศ อาทิ พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต, พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร, หลวงปู่หลุย จันทสาโร, พระอาจารย์วัน อุตตโม และหลวงปู่เทสก์ เทสก์รังสี เป็นต้น
จังหวัดสกลนครตั้งอยู่บริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน มีประวัติศาสตร์มายาวนาน ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ โดยมีการขุดพบฟอสซิลไดโนเสาร์บริเวณแนวทิวเขาภูพาน อำเภอวาริชภูมิ ภาพเขียนสีก่อนประวัติศาสตร์ ชุมชนโบราณในพื้นที่จังหวัดสกลนครอยู่ร่วมสมัยเดียวกับอารยธรรมบ้านเชียงในจังหวัดอุดรธานี จากการสำรวจแหล่งชุมชนโบราณในพื้นที่แอ่งสกลนคร บริเวณลุ่มแม่น้ำสงครามครอบคลุมพื้นที่บางส่วนของอำเภอบ้านดุง อำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี อำเภอสว่างแดนดิน อำเภอวาริชภูมิ อำเภอพังโคน อำเภอวานรนิวาส อำเภอพรรณานิคม และรอบ ๆ หนองหาร อำเภอเมืองสกลนคร พบแหล่งโบราณคดีก่อน ประวัติศาสตร์จำนวน 83 แห่ง ชุมชนโบราณของแอ่งสกลนครนี้มีอายุประมาณ 600 ปีก่อนพุทธกาลจนถึงพุทธศตวรรษที่ 8 (ระหว่าง 3,000-1,800 ปีมาแล้ว) จากหลักฐานการค้นพบต่าง ๆ ของที่นี่พบว่า ชุมชนโบราณในแอ่งสกลนครได้มีการรวมตัวกันเป็นสังคมขนาดใหญ่และอาจจะพัฒนา เป็นสังคมเมืองในสมัยต่อมา
สกลนครเดิมชื่อ เมืองหนองหารหลวง แห่งอาณาจักรขอมโบราณ โดยขุนขอมราชบุตรเจ้าเมืองอินทปัฐนคร ซึ่งได้อพยพครอบครัวและบ่าวไพร่มาจากเมืองเขมร มาสร้างเมืองใหม่ที่ริมหนองหารหลวง บริเวณท่านางอาบ ปัจจุบันเรียกว่าท่าศาลา อำเภอโคกศรีสุพรรณ มีเจ้าปกครองเรื่อยมาจนสิ้นสมัยพระเจ้าสุวรรณภิงคาระ เมื่อเกิดฝนแล้งทำให้ราษฎรอพยพไปเมืองเขมร เมืองหนองหารหลวงจึงร้างอยู่ระยะหนึ่ง ครั้นถึงพุทธศตวรรษที่ 19 เมื่อสกลนครอยู่ภายใต้อิทธิพลของอาณาจักรล้านช้าง จึงได้เปลี่ยนชื่อเมืองเป็น "เชียงใหม่หนองหาร" หรือเมืองสระหลวง หลังจากนั้นเมืองสกลนคร คงอยู่ใต้การปกครองกันไปมา ระหว่างอาณาจักรล้านช้างกับอาณาจักรสุโขทัย และไม่ค่อยมีบทบาททางประวัติศาสตร์ที่โดดเด่นนัก จนมาถึงสมัยกรุงศรีอยุธยา ผู้คนกระจัดกระจายเป็นชุมชนเล็กๆทำมาหากินตามริมหนองหาร จ่ายส่วย อากรให้เจ้าแขวงประเทศราชศรีโคตรบอง เพื่อถวายต้นไม้เงิน ต้นไม้ทองให้แก่ราชธานีกรุงศรีอยุธยาในสมัยนั้น
จนมาถึงในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้อุปฮาดเมืองกาฬสินธุ์ พร้อมด้วยครอบครัวมาตั้งบ้านเมืองดูแลรักษาองค์พระธาตุเชิงชุม จนมีผู้คนมากขึ้นแล้วจึงโปรดเกล้าฯ ให้ยกบ้านธาตุเชิงชุมเป็น เมืองสกลทวาปี โดยแต่งตั้งให้อุปฮาดเมืองกาฬสินธุ์เป็นพระธานี เจ้าเมืองสกลทวาปีคนแรก ต่อมาปี พ.ศ. 2369 รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เกิดกบฏเจ้าอนุวงศ์เวียงจันทน์ เจ้าเมืองสกลทวาปีไม่ได้เตรียมกำลังป้องกันเมือง เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) เป็นแม่ทัพมาตรวจราชการเห็นว่าเจ้าเมืองกรมการไม่เอาใจใส่ต่อบ้านเมือง ปล่อยให้ข้าศึก (ทัพเจ้าอนุวงศ์) ล่วงล้ำได้โดยง่าย จึงสั่งให้นำตัวพระธานีไปประหารชีวิตที่หนองทรายขาว พร้อมกับกวาดต้อนผู้คนในเมืองสกลทวาปีไปอยู่ที่เมืองกบินทร์บุรี บ้าง เมืองประจันตคาม บ้าง ให้คงเหลือรักษาองค์พระธาตุเชิงชุมแต่เพียงพวกเพี้ยศรีคอนชุม ตำบลธาตุเชิงชุม บ้านหนองเหียน บ้านจานเพ็ญ บ้านอ่อมแก้ว บ้านธาตุเจงเวง บ้านพราน บ้านนาคี บ้านวังยาง และบ้านพรรณา รวม 10 ตำบล เพื่อให้เป็นข้าปฏิบัติพระธาตุเชิงชุมเท่านั้น
ในสมัยต่อ ๆ มาได้มีราชวงศ์คำแห่งเมืองมหาชัยกองแก้วทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ได้อพยพข้ามแม่น้ำโขงเข้ามาขอพึ่งพระบรมโพธิสมภาร ขอสร้างบ้าน แปงเมืองขึ้นใหม่ที่เมืองสกลทวาปี พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ราชวงศ์คำเป็นพระยาประเทศธานี (คำ) ในตำแหน่งเจ้าเมืองสกลทวาปี และทรงเปลี่ยนนามเมืองใหม่เป็น เมืองสกลนคร ตั้งแต่บัดนั้นมา จนถึง พ.ศ. 2435 รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว การปกครองเมืองสกลนคร จึงเปลี่ยนเป็นรูปแบบการปกครองส่วนภูมิภาคมณฑลเทศาภิบาล โดยส่วนกลางส่งพระยาสุริยเดช (กาจ) มาเป็นข้าหลวงเมืองสกลนครคนแรก
จังหวัดสกลนครตั้งอยู่บริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน มีประวัติศาสตร์มายาวนาน ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ โดยมีการขุดพบฟอสซิลไดโนเสาร์บริเวณแนวทิวเขาภูพาน อำเภอวาริชภูมิ ภาพเขียนสีก่อนประวัติศาสตร์ ชุมชนโบราณในพื้นที่จังหวัดสกลนครอยู่ร่วมสมัยเดียวกับอารยธรรมบ้านเชียงในจังหวัดอุดรธานี จากการสำรวจแหล่งชุมชนโบราณในพื้นที่แอ่งสกลนคร บริเวณลุ่มแม่น้ำสงครามครอบคลุมพื้นที่บางส่วนของอำเภอบ้านดุง อำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี อำเภอสว่างแดนดิน อำเภอวาริชภูมิ อำเภอพังโคน อำเภอวานรนิวาส อำเภอพรรณานิคม และรอบ ๆ หนองหาร อำเภอเมืองสกลนคร พบแหล่งโบราณคดีก่อน ประวัติศาสตร์จำนวน 83 แห่ง ชุมชนโบราณของแอ่งสกลนครนี้มีอายุประมาณ 600 ปีก่อนพุทธกาลจนถึงพุทธศตวรรษที่ 8 (ระหว่าง 3,000-1,800 ปีมาแล้ว) จากหลักฐานการค้นพบต่าง ๆ ของที่นี่พบว่า ชุมชนโบราณในแอ่งสกลนครได้มีการรวมตัวกันเป็นสังคมขนาดใหญ่และอาจจะพัฒนา เป็นสังคมเมืองในสมัยต่อมา
สกลนครเดิมชื่อ เมืองหนองหารหลวง แห่งอาณาจักรขอมโบราณ โดยขุนขอมราชบุตรเจ้าเมืองอินทปัฐนคร ซึ่งได้อพยพครอบครัวและบ่าวไพร่มาจากเมืองเขมร มาสร้างเมืองใหม่ที่ริมหนองหารหลวง บริเวณท่านางอาบ ปัจจุบันเรียกว่าท่าศาลา อำเภอโคกศรีสุพรรณ มีเจ้าปกครองเรื่อยมาจนสิ้นสมัยพระเจ้าสุวรรณภิงคาระ เมื่อเกิดฝนแล้งทำให้ราษฎรอพยพไปเมืองเขมร เมืองหนองหารหลวงจึงร้างอยู่ระยะหนึ่ง ครั้นถึงพุทธศตวรรษที่ 19 เมื่อสกลนครอยู่ภายใต้อิทธิพลของอาณาจักรล้านช้าง จึงได้เปลี่ยนชื่อเมืองเป็น "เชียงใหม่หนองหาร" หรือเมืองสระหลวง หลังจากนั้นเมืองสกลนคร คงอยู่ใต้การปกครองกันไปมา ระหว่างอาณาจักรล้านช้างกับอาณาจักรสุโขทัย และไม่ค่อยมีบทบาททางประวัติศาสตร์ที่โดดเด่นนัก จนมาถึงสมัยกรุงศรีอยุธยา ผู้คนกระจัดกระจายเป็นชุมชนเล็กๆทำมาหากินตามริมหนองหาร จ่ายส่วย อากรให้เจ้าแขวงประเทศราชศรีโคตรบอง เพื่อถวายต้นไม้เงิน ต้นไม้ทองให้แก่ราชธานีกรุงศรีอยุธยาในสมัยนั้น
จนมาถึงในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้อุปฮาดเมืองกาฬสินธุ์ พร้อมด้วยครอบครัวมาตั้งบ้านเมืองดูแลรักษาองค์พระธาตุเชิงชุม จนมีผู้คนมากขึ้นแล้วจึงโปรดเกล้าฯ ให้ยกบ้านธาตุเชิงชุมเป็น เมืองสกลทวาปี โดยแต่งตั้งให้อุปฮาดเมืองกาฬสินธุ์เป็นพระธานี เจ้าเมืองสกลทวาปีคนแรก ต่อมาปี พ.ศ. 2369 รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เกิดกบฏเจ้าอนุวงศ์เวียงจันทน์ เจ้าเมืองสกลทวาปีไม่ได้เตรียมกำลังป้องกันเมือง เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) เป็นแม่ทัพมาตรวจราชการเห็นว่าเจ้าเมืองกรมการไม่เอาใจใส่ต่อบ้านเมือง ปล่อยให้ข้าศึก (ทัพเจ้าอนุวงศ์) ล่วงล้ำได้โดยง่าย จึงสั่งให้นำตัวพระธานีไปประหารชีวิตที่หนองทรายขาว พร้อมกับกวาดต้อนผู้คนในเมืองสกลทวาปีไปอยู่ที่เมืองกบินทร์บุรี บ้าง เมืองประจันตคาม บ้าง ให้คงเหลือรักษาองค์พระธาตุเชิงชุมแต่เพียงพวกเพี้ยศรีคอนชุม ตำบลธาตุเชิงชุม บ้านหนองเหียน บ้านจานเพ็ญ บ้านอ่อมแก้ว บ้านธาตุเจงเวง บ้านพราน บ้านนาคี บ้านวังยาง และบ้านพรรณา รวม 10 ตำบล เพื่อให้เป็นข้าปฏิบัติพระธาตุเชิงชุมเท่านั้น
ในสมัยต่อ ๆ มาได้มีราชวงศ์คำแห่งเมืองมหาชัยกองแก้วทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ได้อพยพข้ามแม่น้ำโขงเข้ามาขอพึ่งพระบรมโพธิสมภาร ขอสร้างบ้าน แปงเมืองขึ้นใหม่ที่เมืองสกลทวาปี พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ราชวงศ์คำเป็นพระยาประเทศธานี (คำ) ในตำแหน่งเจ้าเมืองสกลทวาปี และทรงเปลี่ยนนามเมืองใหม่เป็น เมืองสกลนคร ตั้งแต่บัดนั้นมา จนถึง พ.ศ. 2435 รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว การปกครองเมืองสกลนคร จึงเปลี่ยนเป็นรูปแบบการปกครองส่วนภูมิภาคมณฑลเทศาภิบาล โดยส่วนกลางส่งพระยาสุริยเดช (กาจ) มาเป็นข้าหลวงเมืองสกลนครคนแรก
สกลนครมีอาณาเขตติดกับจังหวัดอื่น ๆ ดังนี้
การปกครองแบ่งออกเป็น 18 อำเภอ 125 ตำบล 1323 หมู่บ้าน
ตราประจำจังหวัด: รูปพระธาตุเชิงชุม เบื้องหลังเป็นหนองหาร
- ทิศเหนือ จรดจังหวัดหนองคาย
- ทิศตะวันออก จรดจังหวัดมุกดาหารและจังหวัดนครพนม
- ทิศใต้ จรดจังหวัดกาฬสินธุ์
- ทิศตะวันตก จรดจังหวัดอุดรธานี
การปกครองแบ่งออกเป็น 18 อำเภอ 125 ตำบล 1323 หมู่บ้าน
- อำเภอเมืองสกลนคร
- อำเภอกุสุมาลย์
- อำเภอกุดบาก
- อำเภอพรรณานิคม
- อำเภอพังโคน
- อำเภอวาริชภูมิ
- อำเภอนิคมน้ำอูน
- อำเภอวานรนิวาส
- อำเภอคำตากล้า
- อำเภอบ้านม่วง
- อำเภออากาศอำนวย
- อำเภอสว่างแดนดิน
- อำเภอส่องดาว
- อำเภอเต่างอย
- อำเภอโคกศรีสุพรรณ
- อำเภอเจริญศิลป์
- อำเภอโพนนาแก้ว
- อำเภอภูพาน
ตราประจำจังหวัด: รูปพระธาตุเชิงชุม เบื้องหลังเป็นหนองหาร
นายนิยม เวชกามา เขต 2 สกลนคร
นายนิยม เวชกามา
การศึกษา
- ปริญญาตรี ครุศาสตร์บัณฑิต วิทยาลัยครูสกลนคร
- ปริญญาตรี นิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
ประวัติการทำงาน
- รับราชการ
การศึกษา
- ปริญญาตรี ครุศาสตร์บัณฑิต วิทยาลัยครูสกลนคร
- ปริญญาตรี นิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
ประวัติการทำงาน
- รับราชการ
นางอนุรักษ์ บุญศล เขต 5 สกลนคร
นางอนุรักษ์ บุญศล
การศึกษา
ปริญญาโท บริหารธุรกิจมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยโยนก
ประสบการณ์สำคัญทางราชการ
ประสบการณ์การเมือง
ทำงานร่วมกับอดีต ส.ส.พงษ์ศักดิ์ บุญศล มา 20 ปี
เพื่อได้มาซึ่งระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
ประวัติการทำงาน
ประวัติ
-รับราชการครู
-ทำธุรกิจโรงเรียนเอกชน 3 แห่ง
-ผู้จัดการโรงเรียนเอกชน 9 โรงเรียน
-ผู้อำนวยการโรงเรียน
-ได้รับรางวัลนักบริหารดีเด่น สาขา นักบริหารและการศึกษา ประจำปี 2552
การศึกษา
ปริญญาโท บริหารธุรกิจมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยโยนก
ประสบการณ์สำคัญทางราชการ
ประสบการณ์การเมือง
ทำงานร่วมกับอดีต ส.ส.พงษ์ศักดิ์ บุญศล มา 20 ปี
เพื่อได้มาซึ่งระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
ประวัติการทำงาน
ประวัติ
-รับราชการครู
-ทำธุรกิจโรงเรียนเอกชน 3 แห่ง
-ผู้จัดการโรงเรียนเอกชน 9 โรงเรียน
-ผู้อำนวยการโรงเรียน
-ได้รับรางวัลนักบริหารดีเด่น สาขา นักบริหารและการศึกษา ประจำปี 2552
นายเสรี สาระนันท์ เขต 6 สกลนคร
นายเสรี สาระนันท์
การศึกษา
- ปริญญาตรี : สาขาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
ประวัติการทำงาน
- หัวหน้าการประถมศึกษา อำเภอวานรนิวาส จังหวัดสกลนคร
- สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดสกลนคร
การศึกษา
- ปริญญาตรี : สาขาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
ประวัติการทำงาน
- หัวหน้าการประถมศึกษา อำเภอวานรนิวาส จังหวัดสกลนคร
- สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดสกลนคร
นายเกษม อุประ เขต 7 สกลนคร
นายเกษม อุประ
การศึกษา
- ปริญญาตรี : กศ.บ. มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
ประวัติการทำงาน
- สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดสกลนคร
การศึกษา
- ปริญญาตรี : กศ.บ. มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
ประวัติการทำงาน
- สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดสกลนคร
ผู้สมัคร ส.ส.ระบบเขต พรรคเพื่อไทย จ.สกลนคร มี 7 เขตเลือกตั้งดังนี้ (***ส.ส.พรรคเพื่อไทยในปัจจุบัน)
เขตเลือกตั้งที่ 1 อ.เมืองสกลนคร (ยกเว้น ต.โคกก่อง ต.ม่วงลาย ต.ดงชน ต.เหล่าปอแดงและ ต.โนนหอม)
เขตเลือกตั้งที่ 2 อ.เมืองสกลนคร (เฉพาะ ต.โคกก่อง ต.ม่วงลาย ต.ดงชน ต.เหล่าปอแดง และโนนหอม) อ.กุสุมาลย์ อ.โพนนาแก้ว อ.โคกศรีสุพรรณ อ.เต่างอย
เขตเลือกตั้งที่ 3 อ.พรรณนานิคม (ยกเว้น ต.ช้างมิ่ง) อ.กุดบาก อ.ภูพาน อ.อากาศอำนวย (เฉพาะ ต.โพนแพง และ ต.บะหว้า)
เขตเลือกตั้งที่ 4 อ.พังโพน อ.วาริชภูมิ อ.ส่องดาว อ.นิคมน้ำอูน อ.พรรณนานิคม (เฉพาะ ต.ช้างมิ่ง)
เขตเลือกตั้งที่ 5 อ.สว่างแดนดิน อ.เจริญศิลป์(เฉพาะ ต.โคกศิลา)
เขตเลือกตั้งที่ 6 อ.วานรนิวาส อ.เจริญศิลป์ (ยกเว้น ต.โคกศิลา)
เขตเลือกตั้งที่ 7 อ.บ้านม่วง อ.คำตากล้า อ.อากาศอำนวย (ยกเว้น ต.โพนแพง และ ต.บะหว้า)
- เขตเลือกตั้งที่ 1 นายอภิชาติ ตีรสวัสดิชัย
- เขตเลือกตั้งที่ 2 นายนิยม เวชกามา***
- เขตเลือกตั้งที่ 3 นายนริศร ทองธิราช
- เขตเลือกตั้งที่ 4 นายพัฒนา สัพโส แกนนำเสื้อแดงพังโคน ชมรมคนรักทักษิณสกลนคร
- เขตเลือกตั้งที่ 5 นางอนุรักษ์ บุญศล***
- เขตเลือกตั้งที่ 6 นายเสรี สาระนันท์***
- เขตเลือกตั้งที่ 7 นายเกษม อุประ***
เขตเลือกตั้งที่ 1 อ.เมืองสกลนคร (ยกเว้น ต.โคกก่อง ต.ม่วงลาย ต.ดงชน ต.เหล่าปอแดงและ ต.โนนหอม)
เขตเลือกตั้งที่ 2 อ.เมืองสกลนคร (เฉพาะ ต.โคกก่อง ต.ม่วงลาย ต.ดงชน ต.เหล่าปอแดง และโนนหอม) อ.กุสุมาลย์ อ.โพนนาแก้ว อ.โคกศรีสุพรรณ อ.เต่างอย
เขตเลือกตั้งที่ 3 อ.พรรณนานิคม (ยกเว้น ต.ช้างมิ่ง) อ.กุดบาก อ.ภูพาน อ.อากาศอำนวย (เฉพาะ ต.โพนแพง และ ต.บะหว้า)
เขตเลือกตั้งที่ 4 อ.พังโพน อ.วาริชภูมิ อ.ส่องดาว อ.นิคมน้ำอูน อ.พรรณนานิคม (เฉพาะ ต.ช้างมิ่ง)
เขตเลือกตั้งที่ 5 อ.สว่างแดนดิน อ.เจริญศิลป์(เฉพาะ ต.โคกศิลา)
เขตเลือกตั้งที่ 6 อ.วานรนิวาส อ.เจริญศิลป์ (ยกเว้น ต.โคกศิลา)
เขตเลือกตั้งที่ 7 อ.บ้านม่วง อ.คำตากล้า อ.อากาศอำนวย (ยกเว้น ต.โพนแพง และ ต.บะหว้า)
ถนอม สมผล ว่าที่ผู้สมัคร สส. ตัวแทนคนเสื้อแดงสกลนคร ลงพื้นที่ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา
ถนอม สมผล นำมวลชนคนเสื้อแดงสกลนครร่วมชุมนุม "นปช.แดงทั้งแผ่นดิน"
12 มีนาคม- 19 พฤษภาคม 2553
12 มีนาคม- 19 พฤษภาคม 2553
นโยบายหาเสียงพรรคเพื่อไทย
1. ทำเขื่อนกั้นน้ำทะเล ไม่ให้ท่วมกรุงเทพฯ แถวๆ สมุทรสาครและสมุทรปราการ ไม่ต้องกู้
2. ดึงน้ำจากเขื่อน จากประเทศเพื่อนบ้าน ลาว พม่า เขมร และเชื่อมแม่น้ำด้วยลำคลองใหม่
3. รถไฟฟ้าให้ครบทั้ง 10 สาย แต่ละสายเก็บ 20 บาท
4. ทุกสถานีรถไฟฟ้า จะสร้างคอนโดราคาประหยัด ให้เช่า
5. ทำรถไฟรางคู่เชื่อมต่อบริเวณชานเมืองกรุงเทพ
6. ทำรถไฟความเร็วสูงไปโคราช ไประยอง จันทบุรี
7. ขยายแอร์พอร์ตลิงส์ ไปพัทยา
8. ภาคใต้ทำแลนด์บริด
9. ปราบยาเสพติดให้หมดไปภายใน 12 เดือน
10. ความยากจนต้องหมดไปภายใน 4 ปี
11. กองทุนหมู่บ้านเพิ่มเงินทุก ตำบลๆ ละ หนึ่งล้านบาท
12. พักหนี้สำหรับผู้ที่มีหนี้ไม่เกิน ห้าแสนบาท ไม่น้อยกว่า 3 ปี
13. สำหรับผู้ที่มีหนี้เกินห้าแสนแต่ไม่เกินหนึ่งล้าน ให้ปรับโครงสร้างหนี้
14. โครงการ30 บาทรักษาทุกโรค รักษาอย่างมีคุณภาพ
15. ส่งเสริม OTOP ร่วมกับศูนย์ศิลปาชีพ
16. องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น ได้รับเงินเพิ่ม 25 % ไม่ต้องทุจริต
17. ออกเครดิตการ์ดสำหรับเกษตรกร เพื่อนำไปซื้อปุ่ยหรือเมล็ดพันธ์เพื่อการเพาะปลูก
18. ลดภาษีนิติบุคคล จาก 30% เหลือ 23%
19. จบปริญาตรีทำงานมีเงินเดือนเริ่มต้น 15,000 บาท
20. ปรับเงินเดือนให้ข้าราชการและรัฐวิสาหกิจ
21. คนไทยต้องตั้งตัวได้อย่างมีศักดิ์ศรี
22. ตั้งกองทุนร่วมทุน แต่ละจังหวัด
23. ต้องกองทุนร่วมทุนในมหาวิทยาลัยของรัฐและเอกชน โดยมีเงินนักศึกษาที่จบการศึกษากู้ยืม
24. คืนภาษีและเพิ่มค่าลดหย่อนภาษีให้กับ ผู้ที่ซื้อบ้านหลังแรก
25. คืนภาษีให้กับผู้ซื้อรถคันแรก และต้องถือครองรถไม่น้อยกว่า 5 ปี
26. สนับสนุนภาครัฐและเอกชน ไปหาสัมปทานพลังงานเช่นน้ำมัน จากทั่วโลก
27. เด็กนักเรียนมีคอมพิวเตอร์ใช้ One Tablet PC Per Chind
28. Free WIFI เล่น Internet ในที่สาธารณะ เช่นสถานศึกษา สถานที่ท่องเที่ยว โรงพยาบาล ฯลฯ
29. ยกเว้นวีซ่า ในกับประเทศแถบตะวันออกกลาง ญี่ปุ่น
30. ทำสนามบินสุวรรณภูมิ ให้เป็น HUB
31. ประสานความสัมพันธ์กับประเทศซาอุดิอารเบีย ให้กลับมาเหมือนเดิม
2. ดึงน้ำจากเขื่อน จากประเทศเพื่อนบ้าน ลาว พม่า เขมร และเชื่อมแม่น้ำด้วยลำคลองใหม่
3. รถไฟฟ้าให้ครบทั้ง 10 สาย แต่ละสายเก็บ 20 บาท
4. ทุกสถานีรถไฟฟ้า จะสร้างคอนโดราคาประหยัด ให้เช่า
5. ทำรถไฟรางคู่เชื่อมต่อบริเวณชานเมืองกรุงเทพ
6. ทำรถไฟความเร็วสูงไปโคราช ไประยอง จันทบุรี
7. ขยายแอร์พอร์ตลิงส์ ไปพัทยา
8. ภาคใต้ทำแลนด์บริด
9. ปราบยาเสพติดให้หมดไปภายใน 12 เดือน
10. ความยากจนต้องหมดไปภายใน 4 ปี
11. กองทุนหมู่บ้านเพิ่มเงินทุก ตำบลๆ ละ หนึ่งล้านบาท
12. พักหนี้สำหรับผู้ที่มีหนี้ไม่เกิน ห้าแสนบาท ไม่น้อยกว่า 3 ปี
13. สำหรับผู้ที่มีหนี้เกินห้าแสนแต่ไม่เกินหนึ่งล้าน ให้ปรับโครงสร้างหนี้
14. โครงการ30 บาทรักษาทุกโรค รักษาอย่างมีคุณภาพ
15. ส่งเสริม OTOP ร่วมกับศูนย์ศิลปาชีพ
16. องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น ได้รับเงินเพิ่ม 25 % ไม่ต้องทุจริต
17. ออกเครดิตการ์ดสำหรับเกษตรกร เพื่อนำไปซื้อปุ่ยหรือเมล็ดพันธ์เพื่อการเพาะปลูก
18. ลดภาษีนิติบุคคล จาก 30% เหลือ 23%
19. จบปริญาตรีทำงานมีเงินเดือนเริ่มต้น 15,000 บาท
20. ปรับเงินเดือนให้ข้าราชการและรัฐวิสาหกิจ
21. คนไทยต้องตั้งตัวได้อย่างมีศักดิ์ศรี
22. ตั้งกองทุนร่วมทุน แต่ละจังหวัด
23. ต้องกองทุนร่วมทุนในมหาวิทยาลัยของรัฐและเอกชน โดยมีเงินนักศึกษาที่จบการศึกษากู้ยืม
24. คืนภาษีและเพิ่มค่าลดหย่อนภาษีให้กับ ผู้ที่ซื้อบ้านหลังแรก
25. คืนภาษีให้กับผู้ซื้อรถคันแรก และต้องถือครองรถไม่น้อยกว่า 5 ปี
26. สนับสนุนภาครัฐและเอกชน ไปหาสัมปทานพลังงานเช่นน้ำมัน จากทั่วโลก
27. เด็กนักเรียนมีคอมพิวเตอร์ใช้ One Tablet PC Per Chind
28. Free WIFI เล่น Internet ในที่สาธารณะ เช่นสถานศึกษา สถานที่ท่องเที่ยว โรงพยาบาล ฯลฯ
29. ยกเว้นวีซ่า ในกับประเทศแถบตะวันออกกลาง ญี่ปุ่น
30. ทำสนามบินสุวรรณภูมิ ให้เป็น HUB
31. ประสานความสัมพันธ์กับประเทศซาอุดิอารเบีย ให้กลับมาเหมือนเดิม